ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพ ปี 2566 ยังถือเป็นปีที่น่าจับตามองไม่น้อยหลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงและผันผวนจากหลาย ๆ ปัจจัยในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งการระบาดของ COVID-19 ที่จำเป็นต้องปิดพรมแดน ส่งผลให้การท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักลง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้คนทั้งประเทศพากันรัดเข็มขัด จูงมือกันเทขายบ้านพักตากอากาศกันในราคาถูก
ในปัจจุบัน ด้วยปัจจัยหนุนจากการเปิดพรมแดนและการผ่อนปรนเงื่อนไขในการจำนอง ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ อย่างมาก แล้วทิศทางของตลาดอสังหาฯ กรุงเทพ ปี 2566 เป็นอย่างไรบ้าง และยังน่าลงทุนอยู่ไหม อ่านเพิ่มเติบได้ในบทความนี้
บทสรุปย่อ
คาดการณ์กันว่าตลาดอสังหาฯ กรุงเทพจะฟื้นตัวเต็มที่ภายในปี 2568-2570 เนื่องจากมาตรการเชิงบวกใหม่ ๆ จากรัฐบาล เช่น มาตรการผ่อนคลาย LTVและมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ยังออกมาประกาศเกี่ยวกับมาตรการคงราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และเป็นการผยุงธุรกิจ ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะฟื้นตัว 3.3%YoY คิดเป็นมูลค่า 6.04 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนข้างต้น ในอีกแง่หนึ่ง คาดว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านจะเพิ่มขึ้น แม้จะยังมีอสังหาริมทรัพย์ล้นตลาดในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ดังนั้น การพัฒนาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มจะชะลอตัวลง โดยจะมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ห่างไกลมากขึ้น เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีแดงกำลังจะเปิดให้บริการ อย่างไรก็ตามในส่วนแนวโน้มปี 2566 ตลาดที่อยู่อาศัยอาจจะเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่จะค่อยเป็นค่อยไป คอนโดราคาต่ำ ๆ จะขายได้มากกว่าสอดคล้องกับกำลังซื้อที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว ซึ่งในตอนนี้กลุ่มเซ็กเมนต์ที่เติบโตได้ดี คือ คอนโดราคา 1-2 ล้าน และบ้านเดี่ยวราคา 6-10 ล้าน ส่วนบ้านแฝดกับทาวน์โฮมยังติดลบ แต่กลุ่ม Luxury ยังคงเติบโตสม่ำเสมอ
การถือครองที่ดินของชาวต่างชาติยังคงไม่แน่นอน
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 รัฐบาลไทยได้ประกาศมติเกี่ยวกับการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติที่อนุญาตให้ถือครองที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ เนื่องจากเสียงคัดค้านของประชาชนส่วนมากที่กังวลว่าจะทำให้ชาวต่างชาติมีอิทธิพลเหนือคนไทย ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินมากเกินไป ทำให้รัฐบาลต้องยอมถอยและนำมตินี้กลับไปทบทวนอีกครั้ง
กรุงเทพฯ ยังคงเป็นหนึ่งในทำเลที่ผู้ซื้อบ้านต้องการ
จากการศึกษาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเมื่อเร็ว ๆ นี้ 53% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศชี้ให้เห็นว่าสถานที่ตั้งยังคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ โดยจังหวัดที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสนใจมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ และภูเก็ต
ดีมานด์ต่ำกว่าซัพพลาย
อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยหรือดีมานด์ ก็ยังคงต่ำกว่าซัพพลาย ยกตัวอย่างโซนที่เห็นได้ชัด คือ โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง โซนปากเกร็ด โซนพระโขนง-บางนา-ประเวศ โซนบางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด และโซนสุขุมวิท ทางออกของปัญหาโอเวอร์ซัพพลายนี้คงจะเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาอาศัยในกรุงเทพฯ ด้วยการพัฒนากฎหมายรองรับการถือครองที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติในระยะยาว
ตัวเมืองชั้นในของกรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ อีกต่อไป
กรุงเทพฯ ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ ตัวเมืองชั้นในจึงไม่ใช่ทำเลที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกต่อไป เพราะอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ล้วนมีราคาแพงมากและไม่เหมาะสำหรับตลาดส่วนใหญ่ดังนั้น เราอาจเห็นว่าชาวต่างชาติมักจับจองอสังหาริมทรัพย์ระดับบนที่หรูหรามากขึ้นในใจกลางกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในเขต บางจาก คลองตันเหนือ ลาดพร้าว ห้วยขวาง จอมพล จตุจักร หัวหมาก ดินแดง และสามเสนนอก
กฎหมายควบคุมกัญชาของประเทศไทยส่งผลกระทบอย่างมาก
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ประเทศไทยได้รับรองการปลูกกัญชาและการบริโภคในอาหารและเครื่องดื่มอย่างถูกกฎหมาย ปัจจัยนี้ก่อให้เกิดธุรกิจใหม่มากมาย ส่งเสริมทั้งการเกษตรและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ดังนั้น จึงคาดว่ากฎหมายนี้จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของธุรกิจ รวมถึงการเป็นเจ้าของในอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม
ภาพรวมตลาดอสังหาฯ กรุงเทพ ยังน่าลงทุนไหม
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวได้ดีในปี 2566 นี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ลดลง รวมถึงวีซ่าใหม่สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการลงทุนและอยู่ในประเทศไทยระยะยาว ดังนั้น หากคุณสนใจที่จะลงทุนในอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ควรรีบฉวยโอกาสนี้ก่อนที่ดีมานด์จะสูงขึ้น
อยากลงทุนในอสังหาฯ ใช่ไหม ติดต่อลาซูดี เพื่อขอคำปรึกษาได้แล้ววันนี้